Web 3.0 คำนิยามใหม่ที่จะพลิกโฉมอินเทอร์เน็ตไปอีกก้าว

Web 3.0 เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์

Web 3.0 ถ้าเราจะกล่าวถึงนั้น ก็คงต้องท้าวความมองย้อนไปในอดีต เมือเว็บไซต์ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1989 อินเตอร์เน็ตยุคแรกนั้นยังคงเป็นแค่ Web 1.0 เว็บที่เป็นรูปแบบคงที่หรือตอบสนองได้แค่การอ่านเท่านั้น ยังไม่มีการเก็บฐานข้อมูล Database การแลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ ของผู้เข้าไปใช้งานยังเป็นไปอย่างจำกัดมากทำหน้าได้เพียงแค่เหมือนอ่านหนังสือเท่านั้น ไม่มีการเปิดให้เข้าไปแสดงความคิดเห็นได้ เนื่องจากอัลกอริทึมของเว็บยังไม่สามารถเชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บอื่น ๆ ได้มากนัก การค้นหาข้อมูลที่ต้องการจึงทำได้ค่อนค่างยากพอสมควร

ต่อมาในยุคสมัยที่การพัฒนาศักยภาพของอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น เว็บไซต์ต่างก็ได้พพัฒนาไปด้วยเช่นกัน ประมาณในปี คศ.1999 web 2.0 จึงถือกำเนิดขึ้นถือว่าเป็นการเปลี่ยผ่านที่ค่อนข้างรวดเร็วการเข้าสู่ช่วงที่2ของเว็บไซต์รูปแบบนี้ทำให้ โซเชีลมีเดีย ต่างๆเกิดขึ้นเช่น Myspace Facebook  twitter การใช้งานจากที่เป็นเพียงการตอบสนองเพียงด้านเดียวกลับสามารถทำให้ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบ มีการปฏิสัมพันธ์กันได้บนเว็บไซต์โดยตรงและยังสามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้บนฐานข้อมูล Database อย่างสะดวก ในยุคนี้ทำให้เกิดสังคมออนไลน์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก สมาร์ทโฟน และเทคโนโลยีคลาวด์ ซึ่งการแบ่งปันข้อมูลเป็นไปได้ง่ายมากไม่ว่าจะเป็นในแพลตฟอร์มเดียวกัน หรือแชร์กันข้าม แพลตฟอร์มก็ได้ และยังสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา

แล้ว Web3.0 จะกำเนิดขึ้นเมือ่ไหร่ แล้วจะนิยามตัวมันว่าอะไร

เอาเป็นว่ามันจะเป็นเว็บไซต์ที่สามารถทำงานได้แบบ Read-Write-Execution การใช้งานจะไม่มีขีดจำกัดอีกต่อไป ซึ่งกล่าวได้ว่ามันจะไม่จบที่การสร้างเนื้อหาใหม่ ๆ แต่ยังรองรับให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างเครื่องมือ หรือแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของตัวเองขึ้นมาใช้งานได้อย่างอิสระ โดย Tim Berners-Lee ผู้ที่กำเนิด www (World Wide Web) ได้พูดกล่าวเอาไว้ว่า เว็บ3.0นั้นจะกลายเป็น Semantic web หรือก็คือเว็บไซต์ที่สามารถโอนถ่ายข้อมูลระหว่างคน ระบบ และในอุปกรณ์ ได้แบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถสร้างแอปพลิเคชั่น แพลตฟอร์มหรือสิ่งต่าง ๆ ที่ตรงตามความต้องการของแต่ละคนที่เป็นผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย

ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ก็คงต้องรอให้อะไร ๆ หลายอย่างเปิดกว้างพอที่จะรับ เมื่อมีสิ่งที่สามารถรองรับการเข้าใช้งานตามองค์ประกอบหลายด้านเข้น Virtual graphic, Artificial Intelligence, Edge computing, Decentralized DataNetwork Semantic Web เป็นแนวคิดที่ถูกนำเสนอตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533)กิดขึ้นโดยสมาชิกWorld Wide Web Consortium(องค์กรระหว่างประเทศที่ทำงานด้านการพัฒนาเทคโนโลยีเว็บ) ซึ่งจุดมุ่งหมายคือการให้”ความหมายเพื่อให้เนื้อหาที่ปรากฏบนเว็บไซต์เป็นคำที่เครื่องจักรกลสามารถอ่านแล้วเข้าใจได้ ซึ่งหากทำได้สำเร็จสิ่งนี้จะทำให้โปรแกรมต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อและ แบ่งปัน การสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้เป็นไปอย่างง่ายดายและการรันระบบข้อมูลบนProtocol Decentralization จะเหมือนกับเทคโนโลยีBlockchain และ Cryptocurrency ทำให้เกิดคาดการณ์เอาได้ว่าในอนาคตเราจะเห็นการทำงานร่วมกันของ 3 เทคโนโลยีนี้บน Smart Contract ที่จะทำให้ทุกอย่างก้าวหน้า ตั้งแต่ การทำ Microtransaction,Peer-to-Peer storage data การทำงาน crossแอปพลิเคชัน ไปจนถึง การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจของหลาย ๆ องค์กรและในอนาคตจะเห็นว่า DeFi Protocol ที่เราเห็นกันตอนนี้นั้น จะเป็นแค่สิ่งเล็ก ๆ เมื่อยุคของ Web 3.0 มาถึง

จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่คงเป็นไปได้ ไม่ยากแล้ว เพราะเราก้าวออกจากยุตเดิมของ web 2.0 มากขึ้นเรื่อย ๆ

IoT :Internet of tings เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงนี้เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้าถึงได้ทุกอย่างทุกที่ทุกเวลา การเชื่อมต่อสิ่งต่าง ๆ ก็จะเป็นไปได้เร็วมากขึ้น และต่อไปการเชื่อมต่ออุปกรณ์อย่าง IoT ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อมผ่านคอมพิวเตอร์อย่างเดียว หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่เหมือนกับ Web 2.0 อีกต่อไปแถมยังเป็นอุปกรณ์ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดความจำเป็นขึ้นในอนาคตเพราะทำให้สามารถลดต้นทุนและอำนวยความสะดวกสบายให้กับการใช้ชีวิตประจำวันได้อีกด้วย

มีความเป็นไปได้บางอย่างที่ส่งสัญญาณบอกเราเป็นนัยว่าเรากำลังก้าวออกไปจากWeb2.0ที่ละน้อยด้วยยวัตกรรมใหม่อย่างCutting-Edge เพราะบางองค์กรได้พัฒนาออกแบบแอพลิเคชั่นใหม่ๆเช่น ผู้ช่วยที่ติดมากับสมาร์โฟนที่สามารถใช้ระบบสั่งการด้วยเสียง เพื่อใช้ค้นหาข้อมูลคำแนะนำต่าง ๆและได้คำตอบตรงตามความต้องการในระยะสั้นๆ อีกตัวอย่างเช่นsearch engineที่นำเอาระบบค้นหาความรู้ด้วยการคำนวณมาประยุกต์ใช้เป็นต้นจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีต่างๆพัฒนาไปเรื่อยๆมีการกำเนิดนิยามศัพท์ใหม่ขึ้นมาตลอดด้วยความหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของมนุษย์โดยเฉพาะการมาถึงของ Metaverse ที่อาจจะกล่าวได้ว่า web3.0 จะเป็นพื้นฐานสำคัญของการเข้ามาพร้อมกันไปได้อย่างแน่นอน

รับข่าวสารใหม่ ๆ ได้ที่ www.aaneotech.com

Window server 2022 new update
Microsoft ได้ทำการประกาศเปิดตัวในงาน Event Microsoft Ignite 2021 ไว้ว่าได้ทำการพัฒนา วินโดวเซิร์ฟเวอร์ขึ้นมาใหม่ ให้สามารถทดลองใช้งานได้แล้วโดยเป็บรูปแบบของ Preview versions โดย version นี้ได้ออกมาเป็นแบบ Long-term servicing channel หรือ (LTSC)โดยผู้ที่สนใจสามารถทำการ Download ได้ แต่มีข้อแม้ว่าผู้ที่ต้องการใช้งานนั้นจะต้องเป็น เมมเบอร์ของ Microsoft insider เสียก่อน หรือสามารถเข้าทำการทดสอบผ่านทาง Azure VM ได้โดยใช้งานผ่านทาง Deploy โดยเลือก Source จาก Azure Marketplace ซึ่งค่าที่ทำการ Configure เกี่ยวกับ Security Baseline ทาง Azure VM จะตั้งค่ามาเป็นแบบค่า Default อ่านต่อคลิ๊ก www.aaneotech.comwindow-server/